ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายจากสังคมผู้สูงวัย โดยเฉพาะในแง่ของการจัดการด้านสุขภาพและสวัสดิการอย่างเหมาะสม ประเทศเนเธอร์แลนด์ หนึ่งในประเทศที่มีระบบดูแลผู้สูงอายุที่ได้รับการยกย่องว่ามีประสิทธิภาพระดับโลก ได้มีการพัฒนานวัตกรรมทางสังคมที่ชื่อว่า “Buurtzorg” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระของรัฐและค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุข แต่ยังส่งเสริมให้ชุมชนกลับมาเป็นกลไกสำคัญในการดูแลซึ่งกันและกันอีกครั้ง
จุดเริ่มต้นของ Buurtzorg: ปัญหาที่กลายเป็นโอกาส
Buurtzorg เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2550 โดยกลุ่มพยาบาลจำนวน 5 คน ที่เห็นถึงข้อจำกัดในระบบบริการสุขภาพเดิม โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่สูง ความขาดแคลนบุคลากร และความรู้สึกโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุ แนวคิดของพวกเขาคือการจัดทีมพยาบาลขนาดเล็กในระดับชุมชน ที่สามารถบริหารจัดการงานด้วยตนเอง โดยไม่มีผู้จัดการหรือสายบังคับบัญชาแบบดั้งเดิม เพื่อให้พยาบาลมีอิสระในการตัดสินใจและสามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
การดำเนินงานที่เน้นความยืดหยุ่นและการมีส่วนร่วมของชุมชน
โมเดลของ Buurtzorg โดดเด่นที่การให้อิสระแก่พยาบาลในการบริหารเวลาทำงาน การวางแผนการดูแล และการสร้างความสัมพันธ์กับผู้สูงอายุในพื้นที่ ทำให้เกิดการดูแลแบบ “องค์รวม” ที่ไม่เพียงแค่รักษาอาการป่วย แต่ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและสภาพจิตใจของผู้รับบริการ
ในขณะเดียวกัน โครงการนี้ยังส่งเสริมการสร้าง “เครือข่ายอาสาสมัครชุมชน” ที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ เช่น การพาไปพบแพทย์ การจัดกิจกรรมร่วมกับคนในละแวกบ้าน หรือแม้แต่การพูดคุยเพื่อคลายเหงา นอกจากนี้ยังมีแนวคิดการอยู่อาศัยแบบ “ระหว่างวัย” (Intergenerational Living) ที่ผู้สูงอายุสามารถอยู่ร่วมกับคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจและสนับสนุนกันอย่างยั่งยืน
ผลลัพธ์ที่พิสูจน์แล้วในระดับประเทศ
ภายในเวลาไม่ถึงทศวรรษ Buurtzorg ได้ขยายเครือข่ายทีมดูแลทั่วประเทศ และได้รับการยอมรับจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขว่าเป็นนวัตกรรมที่สามารถลดค่าใช้จ่ายในระบบได้ถึง 30% โดยไม่ลดคุณภาพของบริการ ในทางตรงกันข้าม ยังช่วยยกระดับความพึงพอใจทั้งในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ดูแล และคนในชุมชน ทำให้โมเดลนี้ได้รับความสนใจจากหลายประเทศทั่วโลก และมีการนำไปปรับใช้ในบริบทที่หลากหลาย
บทเรียนสำหรับประเทศไทย: โมเดลที่อาจต่อยอดได้ในอนาคต
แม้ประเทศไทยจะมีโครงสร้างทางวัฒนธรรมที่แตกต่างจากประเทศในยุโรป แต่การขยายตัวของสังคมผู้สูงวัยในไทยก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การเรียนรู้จาก Buurtzorg จึงอาจช่วยจุดประกายการพัฒนาระบบดูแลผู้สูงอายุที่เน้นชุมชนเป็นฐาน ลดการพึ่งพิงภาครัฐเพียงอย่างเดียว และส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามามีบทบาทในสังคมได้มากยิ่งขึ้น
การสร้างทีมดูแลขนาดเล็กที่มีอิสระในการจัดการงาน รวมถึงการส่งเสริมบทบาทของอาสาสมัครและการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างวัย อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ระบบดูแลผู้สูงอายุในไทยก้าวข้ามข้อจำกัดดั้งเดิม และนำไปสู่ความยั่งยืนทั้งในเชิงสังคมและเศรษฐกิจ
สรุป: โมเดล Buurtzorg คือพลังแห่งชุมชนและการจัดการตนเอง
Buurtzorg ไม่ได้เป็นเพียงระบบดูแลสุขภาพ แต่คือแนวทางการสร้างชุมชนที่แข็งแรง มีความเห็นอกเห็นใจ และไม่ทอดทิ้งกันในยามชรา สมาคมธุรกิจเพื่อสังคม (SE Thailand) เชื่อว่า การเรียนรู้จากโมเดลที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศเช่นนี้ สามารถนำมาปรับใช้และต่อยอดให้เหมาะสมกับบริบทไทย เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง
สามารถติดตามเรื่องราวดี ๆ จากธุรกิจเพื่อสังคมทั่วโลกได้ในแคมเปญ #SEOverseas ซึ่งจะนำบทเรียนจากต่างประเทศมาแบ่งปันเพื่อการพัฒนาสังคมไทยอย่างรอบด้าน
แหล่งข้อมูลต้นฉบับ:
https://www.euronews.com/next/2023/11/21/creative-caring-social-enterprise-buurtzorg-is-changing-the-way-we-look-after-our-elderly